บทความที่ได้รับความนิยม

28 ก.ค. 2556

ติ่น ไท่ ฟง (Din Tai Fong) ติ่มซำอร่อยกลางเมือง

สวัสดีวันอาทิตย์ค่ะ วันหยุดแบบนี้หลายๆคนคงมีกิจกรรมวันหยุดที่แสนสุขใจกับครอบครัวใช่มั้ยคะ
สำหรับหมีอ้วนสองตัวอย่างบ้านน้ำตาล ความสุขเล็กๆน้อยๆในวันหยุดก็คือหาของอร่อยทานค่ะ  ทานอร่อยแล้วก็อยากแบ่งให้เพื่อนๆบ้าง เผื่อใครอยากหาร้านอร่อยนอกบ้านและยังไม่รู้จะทานที่ไหนดีค่ะ สำหรับร้านแรกที่มารีวิวร้านนี้ต้องบอกว่าถ้าใครเป็นสาวกติ่มซำ ชอบติ่มซำร้อนๆ อย่างเสี่ยวหลงเปาแป้งบาง ห่อใส้น้ำซุปรสกลมกล่อม จีบหมูกุ้งใส้แน่น บะหมี่น้ำข้นหอมเครื่องยาจีน และ Side dish จานเล็กจานน้อย ที่อร่อยจนวางตะเกียบไม่ลง ต้องลอง "ติ่น ไท่ ฟง" ดูซักครั้ง รับรองจะติดใจค่ะ
มาดูทำเลที่ตั้งกันก่อนดีกว่า

ร้านนี้ชื่อ Din Tai Fong (ติ่น ไท่ ฟง) ค่ะ ตั้งอยู่ ชั้น 6 Central world (World Trade เก่านั่นแหละค่ะ) ร้านจะอยู่บริเวณชั้นลอยด้านที่อยู่ติดรถไฟฟ้านะคะ หน้าร้านมีป้ายสีแดงแจ๋ สมกับที่เป็นร้านอาหารจีนเชียวค่ะ ดูหน้าร้านกันไปแล้ว มาดูทิวแถวเข่งติ่มซำกันดีกว่า เยอะขนาดนี้การันตีความอร่อยตั้งแต่มองจากหน้าร้านกันเลยค่ะ
ว่าแล้วพี่หมีกะน้องหมีอ้วนๆสองคนก็จูงมือกันเข้าร้านประหนึ่งมีแรงดึงดูดค่ะ
ร้านนี้เค้าโม้ว่า ติ่มซำเค้าระดับ Michelin star เชียวนะคะ ของแบบนี้ดูจากดาวอย่างเดียวไม่ได้ ต้องเอาเมนูมายล และสั่งมาลองกันเลย เมนูที่ตาลและพี่หมีสั่งวันที่ไปทานมีดังนี้ค่ะ

เริ่มจากไก่แช่เหล้า ของเค้าเนื้อนิ่ม น้ำราดออกเค็มนิดๆ   และหอมเหล้าดีค่ะ
ตามมาติดๆด้วยผักดองกับหมูฝอย เมนูพื้นๆ แต่ทำได้อร่อยอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ ผักดองไม่เค็มหรือเปรี้ยวจนเกินไป คลุกมากับหมูต้มฝอย เป็น Side dish ที่ทานคู่กับจานอื่นๆได้ดี และแก้เลี่ยนได้โขค่ะ

ถัดไปเป็นเมนูเด็ดของร้าน ที่ร้านเค้าโม้ว่าได้ Michelin star " เสี่ยวหลงเปา" ค่ะ ของเค้าถือว่าอร่อยทีเดียวค่ะ แป้งบาง ห่อน้ำซุปร้อนๆรสกลมกล่อม และใส้หมูที่หมักมาอย่างดี หอมน้ำมันงา กัดแล้วน้ำซุปลวกปาก (ไม่ใช่แล้วค่ะ) น้ำซุปไหลออกมาเข้ากับแป้งและไส้มากๆค่ะ อีกอย่างเค้านึ่งได้กำลังดี แป้งไม่เละแบบคีบแล้วแป้งไม่ติดตะเกียบเลยค่ะ

อีกเมนูถ้ามาแล้วไม่ทาน "ถือว่าผิด" คือขนมจีบหมูกุ้งค่ะ แป้งที่ใช้เป็นแบบเดียวกับเสี่ยงหลงเปา แต่ใส้เป็นหมูผสมกุ้งที่อัดมาเต็มๆ ถือว่าเป็นเมนูอร่อยมากอีกเมนูนึงของร้านเลยค่ะ

ติ่มซำหมดไปแล้ว หมีอ้วนๆ 2 คนยังไม่อิ่มค่ะ ปิดท้ายของคาวด้วยบะหมี่เนื้อตุ๋น บะหมี่เนื้อเหนียวนุ่มกับเนื้อน่องลายตุ๋นนุ่มนิ่ม มาในน้ำซุปรสชาดเข้มข้น หอมยาจีน จัดเป็นเมนูปิดท้านที่อิ่มและอร่อยถูกใจพี่หมีมากๆค่ะ ก่อนกลุบบ้านตาลกับพี่หมีปิดท้ายด้วยขนมหวานอีกสองอย่าง มีอะไรบ้างไปชมกันเลยนะคะ


เริ่มจากพุดดิ้งอัลมอนต์ ราดด้วยซอสงาดำ ส่วนตัวตาลไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ เพราะกลิ่นอัลมอนต์ที่ใส่มาทำให้นึกถึงยาลดไข้เด็กยังไงก็ไม่รู้ค่ะ ส่วนซอสงาดำเข็มข้นมาก ทำให้ไม่ค่อยเข้ากันกับพุดดิ้งที่รสอ่อนค่ะ
ส่วนอีกถ้วยเป็นข้าวเหนียวดำเปียกใส่เฉาก๋วยค่ะ สำหรับตาลและพี่หมี เมนูนี้ work กว่าเมนูข้างบน รสชาดข้าวเหนียวเปียกเข้ากันได้ดีกับเฉาก๋วยหวานอ่อนๆ แต่ออกจะเป็นของหวานที่หนักซักหน่อยนะคะ ถ้าจะสั่งอาจต้องเผื่อท้องไว้ซักหน่อยเดี๋ยวจะอิ่มจนลุกไม่ไหวเหมือนตาลกะพี่หมีค่ะ ^^ 

บทสรุปของร้านนี้สำหรับบ้านน้ำตาล อาหารคาวอร่อยมากค่ะ ตาลชอบ Side dish จานเล็กๆ ส่วนพี่หมียกนิ้วให้เสี่ยวหลงเปา และบะหมี่เนื้อตุ๋นค่ะ ส่วนอาหารหวานสำหรับตาลและพี่หมียังไม่ผ่านค่ะ เก็บท้องไว้มาทานขนมญี่ปุ่นที่ Isatan ดีกว่าค่ะ อย่างไรก็ตามทางร้านมีเมนูอื่นๆ ที่ตาลกับพี่หมียังไม่ได้ชิมอีกค่ะ
ไว้ถ้าใครไปชิมเมนูไหน work อย่าลืมมาเล่าให้ฟังบ้างนะคะ
เม้าท์มาซะยาว หวังว่าประสบการณ์เสาะหาของอร่อยของตาลและพี่หมีจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆ บ้างนะคะ ^^ 

26 ก.ค. 2556

ข้าวต้มแซลมอน มื้อเช้าอุ่นๆ บำรุงให้หัวใจอยู่กะเรานานๆ ค่า

สวัสดีตอนเช้าค่ะทุกๆคน ทานข้าวเช้ากันหรือยังคะ ข้าวเช้าเนี่ยเป็นมื้อที่มีประโยชน์ที่สุดของวันเลยนะคะ ทำให้เรามีพลังงานสำหรับกิจกรรมทั้งวัน และยังเป็นมื้อที่มีเวลาเผาผลาญนานที่สุด เพราะฉะนั้นจะบำรุงอะไรก็ใส่ไปตอนมื้อเช้านี่แหละดีที่สุดค่ะ แต่ด้วยข้อจำกัดเรื่องเวลา สำหรับสาวๆ working woman ที่ต้องทำงานงกๆ หัวฟูในวันทำงาน ทำให้ไม่ค่อยได้ทำข้าวเช้าคุณภาพในวันธรรมดาใช่มั้ยคะ
ไหนๆวันนี้ก็เป็น วันเสาร์สบายๆ คุณพ่อบ้านไม่ต้องรีบไปทำงาน เรามาลงครัวทำมื้อเช้าคุณภาพ บำรุงหัวใจคุณพ่อบ้าน ให้หัวใจที่เรารักอยู่กับเรานานๆ ด้วยเมนูง่ายๆ อย่าง "ข้าวต้มแซลมอน" กันนะคะ
เจ้าแซลมอนเนื้อสีชมพูสวยนี่อุดมไปด้วยกรดไขมันที่เป็นประโยชน์ DHA และ Omega 3 ซึ่งช่วยลดโอกาสการเกิดไขมันอุดตันในเส้นเลือด นอกจากนี้สมุนไพรที่ใส่ เช่น ขิงข่าและพริกไทยยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือด คึ่นไช่ช่วยลดความดัน และกระเทียมช่วยลดไขมันในเลือด เห็นมั้ยล่ะคะ ว่าเป็นเมนูง่ายๆ ที่อุดมไปด้วยประโยชน์คับชามจริงๆ ^^
มาดูหน้าตากันก่อนนะคะ

พร้อมแล้วก็คาดผ้ากันเปื้อนลงครัวกันเลยค่ะ

ส่วนผสม สำหรับ 2 ที่นะคะ
1. ปลาแซลมอนเลือกที่มีมันแทรกในเนื้อ หั่นเป็นชิ้นหนาประมาณ 1 1/2 ซม.  200 กรัม
2. ข้าวหุงให้สวยกว่าปกติเล็กน้อย (ถ้ามีเสาไห้เก่าจะดีมากค่ะ) 2 ถ้วย
3. ขิงแก่ 4 แว่น
5. ก้านคึ่นไช่หั่นท่อน
6. ข่า 3 แว่น
7. ขิงอ่อนซอยเส้นเล็กๆ สำหรับโรยหน้า
8. คึ่นไช่เด็ดใบสำหรับโรยหน้า
9. กระเทียมเจียวจนเหลืองกรอบสำหรับโรยหน้า
7. ตั้งไฉ่สำหรับโรยหน้า
8. น้ำสต้อกไก่ หรือปลา 3 ถต.
9. เครื่องปรุงรส เกลือ น้ำตาลทรายสีรำ ซอสปรุงรสฝาเขียว ซีอิ้วขาว พริกไทยดำบด

วิธีทำ
1. ต้มน้ำสต้อก ใส่ขิงแก่ ข่า และก้านคึ่นไช่ ต้มไฟกลาง
2. พอน้ำเดือดใส่ปลา ห้ามคนนะคะ เดี๋ยวคาว
3. พอปลาสุก ปรุงรสด้วยเกลือ น้ำตาล และซีอิ้ว 2 ชนิด ชิมให้รสเข็มข้นซักหน่อย เพราะเดี๋ยวใส่ข้าวจะจืดลงอีกหน่อยค่ะ
4. ประกอบร่าง โดยตักข้าวสวยใส่ชาม ราดด้วยน้ำซุปปลาร้อนๆ โรยหน้าด้วยขิงซอย ใบคึ่นไช่ กระเทียมเจียว ตั้งไฉ่ และโรยพริกไทยเล็กน้อย เท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้วค่า

สุขสันต์วันเสาร์ ชิว ชิว นะคร้า ^^




22 ก.ค. 2556

มื้อสายๆ วันสบายๆ Smoked salmon and Special egg spread Sanwich

สวัสดีตอนสายๆ วันสุดท้ายของการหยุดยาว ก่อนกลับไปลุยงานกันต่อค่ะ
วันหยุดแบบนี้ จะมีอะไรดีไปกว่า นอนชาร์จแบต ตื่นสายๆ ใช่มั้ยคะ ว่าแต่ตื่นสายแบบนี้ เรามาทำ Brunch แบบง่ายๆ รองท้องก่อนออกไปเที่ยวข้างนอกกันดีกว่าค่ะ
เมนูนี้เป็นเมนูง่ายๆ ที่ประยุกต์จากเมนูวัยเด็กของหลายๆคน
ก็เจ้า Egg Spread หรือ ไข่เสปรด รสละมุน เมนูมื้อเช้ายอดฮิตของคุณแม่ยุคตาลยังเด็ก ปรับนิดปรุงหน่อยให้รสชาดจัดจ้าน ทานคู่กับแซลมอลรมควันรสเข้มข้นได้เข้ากั๊นเข้ากันค่ะ


ส่วนผสม สำหรับ 2 ที่ค่ะ
1. ขนมปังโฮลวีท 4 แผ่น
2. Olive spread หรือเนยเค็มสำหรับทาขนมปัง
3. ไข่ต้ม 2 ฟอง
3. Sandwich spread ยี่ห้อสุขุม 2 ชต.
4. ผัก Rocket
5. มะเขือเทศเชอรี่
6. มะนาว หรือเลมอน 1 ลูก
7. เกลือ พริกไทย ในไทม์ อย่างละนิดหน่อยสำหรับปรุงค่ะ
8. Smoked Salmon (แบบในบรั่นดี หรือแบบพริกไทยดำแล้วแต่ชอบค่ะ)

วิธีทำ
1. ต้มไข่ โดยตั้งน้ำพอท่วมไข่ ใส่น้ำส้มสายชู 2 ชต. และเกลือ 1 ชช. พอน้ำเดือดใส่ไข่ ต้ม 10 นาที เสร็จแล้วแช่น้ำเย็นซักพักแล้วค่อยแกะเปลือก
2. ทำ Egg spread โดยหั่นไข่เป็นชิ้นเล็กๆ ค่อยๆใส่แซนวิชเสปรดทีละช้อนให้พอเกาะกัน ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย ใบไทม์ ใส่น้ำมะนาวหรือเลมอน ชิมให้มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย หวาน และมัน (Egg spread สามารถทำล่วงหน้าได้ 1 คืน แต่อย่าเพิ่งเติมมะนาว ค่อยมาเติมตอนจะทาน วิตามินจะได้อยู่ครบกว่าค่ะ
3. ปิ้งขนมปังที่ทา Olive spread จนกรอบ
4. ประกอบร่าง โดยเรียงลำดับดังนี้ ขนมปังปิ้ง ผักร้อคเก็ต มะเขือเทศหั้นขวาง ไข่เสปรด แซลมอน ไข่เสปรดนิดหน่อย ตกแต่งด้วยมะนาวหรือเลมอนฝานบาง และใบไทม์เล็กน้อย ปิดด้วยขนมปังปิ้งอีกแผ่น
เท่านี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้วค่า

หยุดวันสุดท้ายแล้ว ชาร์จแบตกันให้เต็มที่ พรุ่งนี้ขอให้พร้อมลุยยย กันถ้วนหน้านะคะ



Simple Scone... Simply Happiness

สวัสดีค่ะ บ่ายๆ วันหยุดแบบนี้ ถ้าได้ขนมอร่อยๆ ซักชิ้น กับชาหอมๆซักแก้ว นั่งทานขนม จิบชากับคนรู้ใจ ความสุขก็หาได้ง่ายๆรอบๆตัวเราแล้วใช่มั้ยคะ
วันนี้ตาลเอาสูตรขนมที่ทำง่ายมากกกกก ใช้เวลาทำไม่เกิน 30 นาที และออกมาหน้าตาดี ทานอร่อย อย่าง Simple scone มาฝากค่ะ เรียกว่าเหมาะกับวันสบายๆ อาบน้ำทาครีมหอมๆ ทำขนมอยู่กับบ้าน หน้าไม่ทันมัน กลิ่นสบู่ไม่ทันจาง ขนมก็พร้อมเสิร์ฟ และเริ่มต้นช่วงเวลาดีๆ ในวันหยุดกันแล้วค่ะ

มาดูสูตรกันเลยนะคะ
ส่วนผสม (สำหรับ 8 ชิ้น ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 ซม. ครึ่งค่ะ)
1. แป้งเอนกประสงค์ 225 กรัม
2. ผงฟู 3/4 ชต.
3. น้ำตาล 1 ชต.
4. เกลือ 1/4 ชช.
5. เนยจืดหั่นชิ้นเล็กแช่เย็น 75 กรัม
6. ไข่ไก่ 1 ฟอง
7. นม 90 กรัม

วิธีทำ
1. ร่อนแป้ง ผงฟู และเกลือ ลงในอ่างผสม
2. ใส่น้ำตาลลงในอ่าง ใช้ตะกร้อมือคนให้เข้ากัน
3. ตีไข่ 1 ฟองให้เข้ากัน ชั่ง 25 กรัม ใส่ถ้วยส่วนที่เหลือไว้ทาหน้าขนม ใส่นม คนให้เข้ากัน
4. ใส่เนยลงในส่วนผสมข้อ 2 ใช้ส้อม หรือที่สับแป้งพาย ผสมเบาๆให้เป็นเนื้อทรายหยาบๆ
5. ใส่ส่วนผสมข้อ 3 นวดพอเข้ากัน (ดูว่าได้ที่แล้วจากแป้งไม่ติดมือค่ะ ถ้าเหลวไปสามารถเติมแป้งได้อีกนิดหน่อยค่ะ)
6. แผ่แป้งเป็นแผ่นหนา 1 1/2 ซม. ใช้ cookie cutter ตัด วางลงบนถาดอบที่ปูกระดาษไข และทาเนยบางๆ ไว้แล้ว ทาหน้าขนมด้วยไข่ไก่
7. อบ 180 องศา 15-20 นาที หรือจนขนมสุก หน้าเหลืองสวย
เสิร์ฟพร้อมเนย แยม วิปครีม ผลไว้ตามชอบ และชาหอมๆซักถ้วยค่ะ
 


ทานขนมด้วยกันนะคะ ^^

21 ก.ค. 2556

ต้มส้มปลากระบอก

สวัสดีเย็นวันอาทิตย์ค่ะทุกๆคน เพื่อนๆหลายๆคนคงยังจะได้หยุดยาวอีกสองวันแบบตาลใช่มั้ยคะ
ช่วงวันหยุดยาวนี่เป็นโอกาสอันดีที่จะทำกับข้าวที่เราไม่ค่อยได้ทำ เพราะมีเวลารื้อฟื้นสูตร เตรียมวัตถุดิบ และมีเวลาทำแบบไม่เร่งรีบค่ะ
วันนี้ที่บ้านคุณอาตาลมีทำบุญ เลยได้ฝากท้องมื้อกลางวันสบายไปทั้งตาลและพี่หมี พอมื้อเย็นต้องทำเอง เลยอยากให้พี่หมีทานเมนูเบาๆ ประกอบกับพี่หมีอยู่เวรติดกันหลายวันทำท่าจะไม่สบาย ตาลเลยเลือกเมนูที่ให้ความอบอุ่น เหมาะกับหน้าฝน ฝนตกพรำๆ อากาศเย็นๆ แบบนี้ค่ะ สรุปว่า เลยมาลงตัวที่ "ต้มส้มปลากระบอก" ปลากระบอกเนื้อแน่น ต้มในน้ำซุปรสจัดจ้าน เผ็ดร้อนด้วยพริกไทย หวานหอมแดง เข็มข้นด้วยกะปิดี และร้อนด้วยขิงซอย ปรุงรสให้เปรี้ยวหวาน ด้วย น้ำมะขามเปียก และน้ำตาลโตนด
งานนี้พี่หมีซดน้ำคล่องคอไปเลยค่ะ ^^
มาดูหน้าตากันก่อนนะคะ
พร้อมแล้วก็ผูกผ้ากันเปื้อนลงครัวกันเลยค่ะ
สูตรนี้สำหรับ 3-4 ที่นะคะ
ส่วนผสม
1. ปลากระบอกตัวกลางๆ 2 ตัว ขอดเกล็ดควักเครื่องใน หั่นเป็นชิ้นใหญ่ๆ
2. เครื่องแกงต้มส้ม 1 สูตร
3. ขิงซอย 1/2 ถต.
4. ต้นหอมหั่นท่อน 1/4 ถต.
5. น้ำมะขามเปียก           
6. น้ำตาลปี๊บ                   
7. น้ำปลาดี
8. น้ำสต๊อกปลาหรือไก่ 2 ถต.
9. ผักชีสำหรับตกแต่ง  


เครื่องแกงต้มส้ม
1. พริกไทยขาว 1 ชต.
2. หอมเล็ก 7 หัว
3. รากผักชี 3 ราก
4. กะปิ 2 ชช.

วิธีทำ
1. นำเครื่องแกงทั้งหมดใส่เครื่อง Food Processer หรือโขลกของแห้งก่อนค่อยใส่ของสด จนเครื่องแกงเนื้อเนียน
2. ตั้งนำสต๊อกใส่เครื่องแกงข้อ 1
3. พอเดือดใส่ขิง ใส่ปลา เร่งไฟ ห้ามคนนะคะ เดี๋ยวคาวค่ะ
4. ต้มจนเดือดอีกรอบ กะว่าปลาสุก จึงเติมน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ชิมให้ได้ 3 รส เปรี้ยว หวาน เค็ม (แต่ต้องไม่ให้รสใดโดดขึ้นมานะคะ)
5. ใส่ต้นหอมหั่นท่อน คน 2 ที ปิดไฟ ตักใส่ชามตกแต่งด้วยผักชีเด็ดใบ เสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ ได้เลยค่ะ

Tan's tips
1. ปลากระบอกเลือกที่สดๆ ตาใสๆ นะคะ จะได้ไม่คาวมาก อีกอย่างตอนทำปลาถ้าเคล้าเกลือบางๆ แล้วล้างออกจะช่วยลดกลิ่นคาวได้ค่ะ
2. โขลกเครืองแกงใส่เกลือเม็ดนิดหน่อยจะทำให้โขลกละเอียดง่ายขึ้นค่ะ
3. พริกไทยขาวกลิ่นไม่แรงเท่าพริกไทยดำแต่ทำให้น้ำแกงสีสวยกว่า ถ้าไม่เน้นสวยงามจะใส่พริกไทยดำก็ได้ค่ะ
4. น้ำสต๊อกแนะนำให้ใช้น้ำสต๊อกปลาหรือไก่ เพราะกลิ่นจะไม่ตีกันกับปลาที่เราใส่ไปค่ะ
5. ขิงซอยให้ใช้ขิงอ่อน เพราะเผ็ดน้อย และทานง่ายกว่าขิงแก่ แต่จะกลิ่นสู้ขิงแก่ไม่ได้ค่ะ เวลาซอย ซอยให้เส้นเล็กละเอียดๆ เวลาทานจะไม่รู้สึกเผ็ดขิงมากเกินไป ทานเพลินๆ แป๊บเดียวก็หมดเกลี้ยงค่ะ

ต้มส้มเป็นต้มที่ทำไม่ยาก เครื่องไม่เยอะ และอร่อยทานง่าย เหมาะกับช่วงฝนตกพรำๆ อากาศเย็นๆ แบบนี้ค่ะ หวังว่าเพื่อนๆ จะมีความสุขกับสูตรรักครัวบ้านน้ำตาลนะคะ
สุขสันต์วันหยุดยาวค่ะ ^^

20 ก.ค. 2556

"แกงเผ็ดเป็ดย่าง" ทานเป็ดอย่างเดียวก็เลี่ยน ทานแกงเผ็ดก็จัดจ้านไป ทำอย่างไรให้ลงตัว

แกงเผ็ดเป็ดย่าง (สูตรนี้สำหรับ 2-3 ที่ค่ะ)
มาแล้วค่ะ Review สูตรทำแกงเผ็ดเป็ดย่าง ก่อนดูสูตรเรามารู้จักแกงชนิดนี้กันก่อนนะคะ
แกงเผ็ดเป็ดย่าง เป็นแกงโบราณค่ะ คงประยุกต์ เป็ดย่าง ที่เป็นของจีน กับแกงเผ็ดรสจัดของไทยให้มีรสชาดกลมกล่อมขึ้น ด้วยการใส่ ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวาน เช่น ระกำ หรือสัประรด พอมาเป็นสมัยนี้ ระกำคงหายากขึ้น หรือชื่อดูระกำช้ำใจเกินไปก็ไม่รู้ คุณกุ๊ก สมัยใหม่เลยประยุกต์ใช้ผลไม้ที่หาได้ง่ายตามตลาดติดแอร์มาใช้แทน เช่น ลิ้นจี่ องุ่น เป็นต้น  
ส่วนสามาเหตุที่แม่ครัวฝึกหัดอย่างตาลหัดทำก็เพราะว่าคุณพี่หมีของตาลชอบเจ้าแกงชนิดนี้มากทีเดียวค่ะ อาจจะเป็นเพราะว่าแจ้งแกงชนิดนี้เป็นการผสมผสานที่ลงตัว การใส่มะเขือเทศและผลไม้รสเปรี้ยวช่วยลดความเลี่ยนจากเป็ดย่างที่ค่อนข้างมีมันมาก และปรับรสชาติแกงเผ็ดที่ปกติต้องเผ็ดและเค็มนำ ให้รสชาติกลมกล่อมขึ้น เหมาะกับรสนิยมคุณหลวงยุคมิลเลเนี่ยมอย่างพี่หมีมากขึ้นค่ะ  
 

รู้จักหน้าค่าตา และที่มาที่ไปกันแล้ว มาดูสูตรกันเลยนะคะ
ส่วนผสม
1. เป็ดย่างประมาณ                             200         กรัม (ตาลใช้เป็ด MK กล่องเล็ก 1 กล่องค่ะ)
2. น้ำพริกแกงเผ็ด                                 1              สูตร        
3. กะทิสด                                              500         กรัม (แยกหัวและหาง)
4. มะเขือเทศสีดา                                  8-10       ลูก
5. ลิ้นจี่สดปอกเปลือกคว้านเมล็ด      8-10       ลูก
6. ใบมะกรูดฉีก                                     5              ใบ
7. พริกชี้ฟ้าแดงแกะเม็ดหั่นแฉลบ       1              เม็ด
8. ใบโหระพา                                         ½             ถต.
9. น้ำตาลปี๊บ                                         ½             ชต.
10. น้ำปลาดี                                         1              ชต.

ส่วนผสมน้ำพริกแกงเผ็ด
1.       พริกแห้งแช่น้ำให้นิ่มแกะเมล็ด     10           เม็ด
2.       ข่า                                                   3              แว่น
3.       ตะไคร้ซอย                                     2              ต้น
4.       หอมเล็ก                                         2              หัว
5.       กระเทียมไทย                                 1              ชต.
6.       ลูกผักชี                                           1              ชช.
7.       ยี่หร่า                                              1              ชช.
8.       ผิวมะกรูด                                       5              แว่น
9.       เปราะหอม                                     5              แว่น
10.   กะปิ                                                                1              ชช.

วิธีทำ
1. เตรียมพริกแกง ใส่ทุกอย่างลงใน Food processer ปั่นจนเนียน หรือ ถ้าใช้ครกให้โขลกของแห้งก่อน แล้วค่อยใส่ของสด ใส่เกลือเม็ดนิดหน่อยจะทำให้เครื่องแกงเนื้อละเอียดขึ้นค่ะ
2. ตั้งกระทะก้นลึก หรือหม้อแกง ใส่หัวกระทิครึ่งหนึ่งกับพริกแกงข้อ 1 ผัดจนกะทิแตกมัน
3. ใส่เป็ดย่าง ผัดพอเข้ากัน
4. เติมหัวกะทิที่เหลือใส่มะเขือเทศ กับลิ้นจี่ เติมหางกะทิจนได้แกงข้นตามต้องการ (แกงเผ็ดต้องมีความข้นพอสมควรค่ะ ถ้าใส่หางกะทิมากไปแกงจะใส ไม่เข็มข้นค่ะ) เติมน้ำปลาน้ำตาล ชิมรสให้กลมกล่อม เบาไฟต้มต่อประมาณ 15 นาที
6. ก่อนเสิร์ฟเร่งไฟให้เดือดใส่ใบมะกรูด โหระพา และพริกซอยแฉลบ พอผักสลดก็ปิดไฟได้ค่ะ

Tan’s Tips
1. พริกแกงตามสูตรที่ให้เป็นแบบเผ็ดปกตินะคะ ถ้าทานเผ็ดน้อยแบบบ้านตาล อาจลดเหลือพริกเม็ดกลางๆ ซัก 5-7 เม็ดก็พอค่ะ เวลาแกะเมล็ดพริกให้ลอกเอาเส้นขาวๆที่เมล็ดเกาะอยู่ออกให้หมด แล้วล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง จะทำให้ได้พริกแกงที่หอมแต่ไม่เผ็ดจัดค่ะ อย่าลืมใส่ถุงมือนะคะ ตาลเคยทำแบบไม่ใส่ถุงมือ มือแดงไปหลาย ชม. เลยค่ะ แต่ถ้าไม่มีเวลาทำเอง สามารถซื้อพริกแกงเผ็ดร้านอร่อยมาแทนได้ ลองทำแล้วชิมดูว่าขาดกลิ่นอะไร ค่อยเติมเอาก็ได้ค่ะ เช่น ตาลชอบใช้นิตยาที่บางลำภู แล้วมาเติมกระเทียมกับหอมอีกนิดหน่อย การซื้อพริกแกงอาจมีปัญหาว่าถ้าใส่ตามสูตรอาจเผ็ดเกินไป แต่ถ้าทานเผ็ดได้ปกติก็ไม่เป็นปัญหาค่ะ
2. มะเขือเทศสีดาที่ใช้เลือกลูกเล็กๆ เนื้อแน่นๆ ค่ะ ถ้าไม่มีมะเขือเทศสีดา สามารถใช้มะเขือเทศเชอรี่ลูกโตๆแทนได้ แต่จะออกรสน้อยกว่าค่ะ ส่วนผลไม้ที่ใช้แนะนำให้ใช้ผลไม้รสเปรี้ยวอมหวานที่มีเนื้อหนาพอควร เวลาต้มจะได้ไม่เละค่ะ ถ้าจะใช้สัประรด ต้องเลือกพันธุ์ที่น้ำน้อยไม่ฉ่ำจะดีกว่าค่ะ
3. น้ำตาลปี๊บ สามารถเลือกใช้ได้ทั้งน้ำตาลมะพร้าว และน้ำตาลโตนดค่ะ แต่ในฐานะหลานสาวเมืองเพชร ตาลรู้สึกว่าน้ำตาลโตนดจะให้รสหวานแหลมกว่าน้ำตาลมะพร้าวนิดหน่อย เหมาะกับใช้ทำกับข้าวรสจัดอย่างแกงเผ็ด ส่วนน้ำตาลมะพร้าวจะให้รสนุ่มนวลและมันกว่า เหมาะกับการทำขนมไทยค่ะ
4. เปราะหอม เป็นแง่ง คล้ายๆขิง แต่เล็กกว่าค่ะทำให้เครื่องแกงหอมขึ้น มีขายตามตลาดชาวบ้าน หรือที่ อตก. แต่ถ้าหาไม่ได้จะไม่ใส่ก็ได้นะคะ
5. การผัดเครื่องแกง สำคัญมากต้องผัดไฟกลาง ใจเย็นผัดจนกะทิแตกมัน ถ้าผัดเครื่องแกงไม่ดี แกงจะไม่หอม และอาจเหม็นเครื่องแกงได้ค่ะ
6. รสกลมกล่อมคือมีครบรส เค็ม เผ็ด หวาน มัน มีรสเปรี้ยวเล็กน้อย แต่ทานแล้วไม่รู้สึกว่ารสใดโดดขึ้นมาค่ะ

18 ก.ค. 2556

มาแล้วค่า Review เตาอบไฟฟ้า Part 2

จากคราวที่แล้วตาลแนะนำ น้อง OTTO กะพี่บึ้ก Alpha ไปแล้วคราวนี้มาดูคู่แข่งตัวเต็งที่ตาลใช้เปรียบเทียบก่อนซื้อพี่บึ้กกันค่ะ รุ่นที่จะแนะนำวันนี้เธอชื่อ Severin SEV 2024 ค่ะ ถ้าที่บ้านเป็นสาวก วีรสุ ตัวจริงจะต้องรู้จัดยี่ห้อนี้อย่างแน่นอน เพราะเค้าเป็นแบรนด์เยอรมันที่มีขายมานานในร้านวีรสุ เรียกว่าตั้งแต่รุ่นคุณแม่หัดทำขนมกันเลยค่ะ และที่สำคัญขึ้นชื่อว่าวีรสุนี่รับประกันความทนทานสุดๆ (ประสบการณ์ตรงจากเครื่องซักผ้าที่บ้านแม่ซื้อจากวีรสุตั้งแต่ท้องตาล ป่านนี้เธอยังไม่พังเลยค่ะ)
ดูหน้าตากันก่อน ป้าหน้าตาแบบนี้ค่ะ
 
มาดูคุณสมบัติและข้อดีของป้า Severin กันเลยค่ะ
1. เตาอบไฟฟ้า ความจุ 20 ลิตร
2. ตัวเครื่องทำจากสแตนเลสสตีล ไม่ต้องห่วงผิวลอกใช้ไปนานแล้วจะไม่สวย (ประมาณว่าถึงป้าจะดูแก่นิดหน่อยแต่ป้าก็สวยสองพันปี)
3. กระจกด้านหน้าเป็นกระจกสองชั้น ไม่ร้อนหน้ามันเวลาทำขนม
4. มีฟังค์ชั่น ไฟ บน-ล่าง และพัดลมทำให้ร้อนทั่วกัน และสามารถทำขนมที่ต้องการให้หน้าเกรียม เช่น Toffee cake ได้โดยใช้ไฟบน-ล่าง ต่อด้วยไฟบนจนเกรียมเป็นที่พอใจค่ะ
5. มีแกนหมุน ทำให้สามารถอบไก่หรือเป็ด (ตัวเล็กๆ ไม่ใช่ไก่งวง) ได้สบายๆ
6. ขนาดใหญ่หน่อยทำให้สามารถอบขนมเค้กทรงสูง 3-4 ปอนด์ หรืออบคุ้กกี้แบบใช้ถาด 2 ชั้นได้ สบายๆ แต่ไม่กินพื้นที่ในครัวมากเกินไป
7. ราคาประมาณ 5500 -5900 บาท
ดูข้อดีกันไปแล้ว มาดูข้อเสียก่อนตัดสินใจกันบ้าง สำหรับข้อเสียของป้า SEV ก็คล้ายๆ กับพี่บึ้ก Alpha ค่ะ คือ
1. ตัวใหญ่กว่าก็เลยกินไฟ กว่าน้อง OTTO
2. ต้องใช้เวลาวอร์มเตาประมาณ 20-30 นาที (ถ้าน้อง OT 10 นาทีก็ร้อนจี๋แล้วค่ะ)
3. ถึงแม้ว่าแบรนด์นี้จะเป็นแบรนด์เก่าแก่ของเยอรมัน แต่รุ่นใหม่ๆ ก็มักจะผลิตที่จีนแดง แล้วแปะยี่ห้อเอา ทำให้ความทนทานอาจลดลงตามมาตรฐานจีนแดง และหากเกิดปัญหาจะต้องรออะไหล่นานกว่าพี่บึ้ก
4. ราคาของป้าแพงกว่าน้อง OT และพี่บึ้ก เพราะฉะนั้นหากทำแล้วไม่รุ่งก็อาจเสียดายตังค์อยู่ค่ะ
5. สุดท้ายถ้าเสียต้องส่งที่ วีรสุ เท่านั้นค่ะ ส่วนน้อง OT กับ พี่บึ้ก สามารถส่งที่เซ็นทรัล หรือเดอะมอลล์ ได้ค่ะ อันนี้แล้วแต่ความสะดวกว่าไปที่ไหนใกล้ สำหรับตาล เซ็นทรัลเป็นทางผ่านกลับบ้าน และคอนโดก็อยู่ใกล้เดอะมอลล์ซะขนาดนั้น พี่บึ้กเลยดูจะสะดวกกว่า
สรุปสุดท้ายสำหรับการเลือกซื้อเตาอบฉบับครัวบ้านน้ำตาลมีดังนี้ค่ะ
หัวข้อเปรียบเทียบ
น้องน้อย OTTO
พี่บึ้ก Alpha
ป้า Severin
1. ความจุ
เค้ก 2 ปอนด์ คุ้กกี้ 9-12 ชิ้น
เค้ก 3-4 ปอนด์ คุ้กกี้ 24 – 30 ชิ้น
เค้ก 3-4 ปอนด์ คุ้กกี้ 24 – 30 ชิ้น
2. กระจกด้านหน้า
ชั้นเดียว อบแล้วหน้าแม่ครัวมันเป็นเอลฟ์ก้นครัว
2 ชั้น เอาทิชชูซับๆ หน้าแม่ครัว แล้วมานั่งทานขนมแบบสวยๆ ได้
2 ชั้น เอาทิชชูซับๆ หน้าแม่ครัว แล้วมานั่งทานขนมแบบสวยๆ ได้
3. วอร์มเตา
ประมาณ 10 นาที
20 – 30 นาที
20 – 30 นาที
4. กินไฟ
น้อยพอๆกับเตาปิ้งขนมปัง แต่ถ้าทำเยอะ ต้องทำหลายรอบทำให้เปลืองกว่าอีก 2 แบบ
กินไฟกว่าน้อง OTTO แต่ถ้าทำเยอะๆ ก็จะประหยัดกว่าเพราะอบเตาเดียว
กินไฟกว่าน้อง OTTO แต่ถ้าทำเยอะๆ ก็จะประหยัดกว่าเพราะอบเตาเดียว
5. ชื่อเสียง/ความน่าเชื่อถือ
*
**
***
6. รูปร่างหน้าตา
*
** (ออกจะดูบึ้กไปนิดค่ะ)
*** (ป้าผิวเป็นมันเงา แถมกันรอยขูดขีดได้ด้วยค่ะ)
7. ราคา
1000++
4000++
5000++
8. พัดลม
ไม่มีค่ะ ใช้กลับถาดเอา
+
+
9. ภาพรวม
+
+++
++

หมายเหตุ การประเมินภาพรวม เป็นการประเมินโดยใช้ความสะดวกของตาลเป็นหลักค่ะ ทั้งเรื่องของความจุที่ตาลใช้ประจำ และเรื่องศูนย์บริการ ตาลไม่ค่อยเน้นหน้าตาเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นถึงจะอ้วนดำ แบบพี่บึ้ก ตาลก็โอเคค่ะ ส่วนเรื่องราคาตาลว่าไม่ต่างกันมาก ระหว่าพี่บึ้กกะป้า Sev ค่ะ ถ้าคิดว่าอยากได้อันใหญ่หน่อย และสะดวกรับบริการหลังการขายที่ไหนก็เลือกได้ตามชอบเลยค่ะ  
                สำหรับรีวิวเตาอบบ้านน้ำตาลขอจบเพียงเท่านี้ค่ะ หวังเป็นอย่างยิ่งว่าประสบการณ์การเลือกเตาอบ (แบบเดินดูจนหมดยาทาตราเสือไปเป็นหลอด) ของตาลจะช่วยให้พี่ๆ เพื่อนๆ ที่อยากเป็นแม่ครัวมือใหม่หัดอบได้เลือกเตาอบที่ถูกใจกันง่ายขึ้นค่ะ
                สุดท้ายแล้ว อยากฝากว่า อุปกรณ์และวัตถุดิบที่ดีเป็นส่วนนึงที่จะทำให้อาหารและขนมที่เราทำอร่อย แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือต้อง ใส่ใจลงไปด้วยค่ะ เพราะความใส่ใจนี่แหละที่จะทำให้อาหารที่เราทำ ถูกใจคนทานค่ะ ^^